คำเตือน : การลงทุนใน ตลาดหุ้น, ทองคำ, Forex & CFDs, Crypto มีความเสี่ยงสูงผู้ที่สนใจโปรดศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ ก่อนการตัดสินใจลงทุน

Forex Thaiclub

ให้ความรู้เกี่ยวกับ FOREX ชุมชนนักเทรดประเทศไทย ศึกษา วิเคราะห์ แชร์ประสบการณ์

Forex Thaiclub

ให้ความรู้เกี่ยวกับ FOREX ชุมชนนักเทรดประเทศไทย ศึกษา วิเคราะห์ แชร์ประสบการณ์

Forex Thaiclub

ให้ความรู้เกี่ยวกับ FOREX ชุมชนนักเทรดประเทศไทย ศึกษา วิเคราะห์ แชร์ประสบการณ์

Forex Thaiclub

ให้ความรู้เกี่ยวกับ FOREX ชุมชนนักเทรดประเทศไทย ศึกษา วิเคราะห์ แชร์ประสบการณ์

Forex Thaiclub

ให้ความรู้เกี่ยวกับ FOREX ชุมชนนักเทรดประเทศไทย ศึกษา วิเคราะห์ แชร์ประสบการณ์

QE คืออะไร ?

อะไรคือมาตรการ QE และมีผลกระทบอย่างไร?ต่อตลาดทองคำและตลาดโลก

QE หรือ Quantitative Easing หรือเรียกอีกอย่างว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ คือนโยบายทางการเงิน แบบนึง โดยหลักการจะเป็นการนำ เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะเข้าไปซื้อสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน และจะให้สถาบันทางการเงิน ปล่อยกู้ให้ภาคเอกชนต่อไป เพื่อกระตุ้นให้ ประชาชนในประเทศ มีการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งโดยปรกติ ก่อนที่จะใช้ QE มักจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาก่อน แต่ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงจะใช้มาตรการ QE ซึ่งการประกาศใช้ มาตรการ QE นั้น ไม่ได้เป็นข่าวดีนักเพราะเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะเงินเฟ้อ การใช้มาตรการQE นั้น โดยปรกติ จะต้องทำการกู้เงินมาจากที่ใดที่หนึ่งอย่างเช่น IMF แต่สำหรับประเทศอเมริกาแล้ว เค้าใช้วิธีพิมพ์แบงค์ขึ้นมาเอง ซึ่งเมื่อมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบ ก็จะทำให้ ดอกเบี้ยพันธบัตรลดลง และทำให้ค่าเงิน usd อ่อนค่าลงด้วย นอกจากนี้แล้ว อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อมีสภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเงิน usd ก็อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน

การอ่อนค่าลงของเงิน usd ดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร เราเคยทราบกันดีอยุ่แล้วช่วงที่ประเทศไทยเคยมีปรากฏการณ์การอ่อนค่าลงของเงินบาท ผลที่ได้คือ สามารถส่งออกได้ ดีเพราะ ของจะราคาถูกลงนั่นเอง และพอมีการส่งออกก็ทำให้สหรัฐมีกำไรมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่สำหรับเราที่เป็นนักลงทุน ซึ่งผมเอง ลงทุนในทองคำเป็นหลัก เมื่อมีเหตุการณ์เกี่ยวกับมาตรการ QE นั่นก็หมายความว่า ค่าเงิน usd มีโอกาสอ่อนค่าลง และเมื่อไหร่ก็ตามที่ ค่าเงิน usd อ่อนค่าลง ราคาทองคำก็จะขึ้น เมื่อเพื่อนๆ ทราบแล้วก็อย่ารอช้านะครับ เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์นี้แล้ว ลุยเลยครับ
ปล. การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
โชคดีทุกคนครับ ^^”


อีกแง่มุมหนึ่ง

ฝรั่งมักจะใช้คำว่า “สร้างเงินขึ้นมาจาก Thin Air” หรืออากาศบางๆ เพราะ เงินที่จ่ายออกไป ธนาคารกลางสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่า นอกจากนี้ เพดานในการทำ QE ดูเหมือนจะไม่มี จะเห็นได้ว่า Balance Sheet มันบวมได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ไม่ทำให้ตัวเลข Public Debt แย่ลง เพราะซื้อตราสารที่มีอยู่แล้วในตลาด  หนี้สาธารณะเค้าดูที่รัฐบาล ไม่ได้ดูที่ธนาคารกลาง 

แต่ ... เงินเฟ้อในอนาคตที่จะเกิดจาก QE มีโอกาสทำให้หนี้ของรัฐบาลบาลสูงขึ้นได้ 

นอกจากนี้นโยบายการเงินปกติของธนาคารกลางจะเน้นที่ดอกเบี้ยระยะสั้นเท่านั้น เช่นของ BOT คือ RP-1 หรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรข้ามคืน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ธนาคารกลางไม่สามารถควบคุมดอกเบี้ยระยะยาวได้  ในกรณีของ QE จะมีการซื้อตราสารระยะยาวด้วย ทำให้ yield ทุกช่วงเวลาลดลง 

BOE (Bank of England) หรือธนาคารกลางของอังกฤษทำรูปนี้สวยดี เค้าแสดงให้เห็นกลไกการส่งผ่านของมาตรการ QE ไปสู inflation target 2% ของเค้า ตอนนี้อังกฤษ 3% แล้ว ไม่รู้ว่ายังจะทำอยู่หรือเปล่า (BOE เริ่มซื้อ asset เพิ่มตั้งแต่ปลายปี 2008 หรือต้นปี 2009 นี่แหละ)


ลองดู QE1 ของ Federal Reserve หรือเฟดเป็นตัวอย่าง (Ben Bernanke พยายามใช้คำว่า Credit Easing แต่ไม่ติดตลาด) หลังจากเฟดลดดอกเบี้ย Fed Fund Rate ซึ่งเป็นดอกเบี้ยนโยบายของเค้าอย่างรวดเร็วจนเหลือ 0-0.25% (ถึงตรงนี้อยากให้ทำความเข้าใจ BOJ ไม่ได้ลดดอกเบี้ยเหลือ 0 ตามที่หลายคนเอามา post แต่เป็น 0-0.1% นะครับ) เฟดก็จัด QE1 ให้โดยกว้านซื้อตราสารนานาชนิดเข้ามาเก็บ รวมถึงพวก Toxic Asset อย่าง Mortgage Backed Securities (MBS) ต้นตอของปัญหา subprime ด้วย  เดิม Balance Sheet ของเฟดมี asset อยู่ประมาณ 800 พันล้าน US$ เท่านั้น เพิ่มขึ้นมาเป็น 2.3 ล้านล้าน US$ อย่างรวดเร็ว ข้อดีของ QE คือมันเร็ว และไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาด

ประเด็นสำคัญในการทำ QE คือ ตราสารที่จะเข้าซื้อนั้นอาจต้องมีมูลค่าสูงมากและทำอย่างต่อเนื่อง เพราะมันจะมีตราสารใหม่เข้ามาในตลาดเรื่อยๆ  นอกจากนี้ต้องหยุดซื้อเมื่อถึงเวลาสมควร

พันธบัตรเหล่านี้ส่วนใหญ่ เวลาขายกลับคืนสู่ตลาดจะได้ราคาต่ำกว่าเดิมค่อนข้างแน่ เพราะธนาคารแทรกแซงในเวลาที่ดอกเบี้ยต่ำมาก  เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติและ yield ปรับสูงขึ้น ธนาคารกลางก็จะต้องรับผลขาดทุน ซึ่งผมมองว่า การขาดทุนทางบัญชีของธนาคารกลางไม่ค่อยมีความหมายอะไร เพราะพี่เขาพิมพ์เงินได้เองอยู่แล้ว


แต่เฟดไม่ได้เป็นธนาคารกลางแห่งแรกที่ใช้ QE ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ (ถ้าจะถามว่า ใครใช้ก่อนในโลกจะตอบยาก ในช่วงปี 1930 สหรัฐก็ทำอะไรประมาณนี้ แต่อังกฤษอาจจะบอกว่าเราทำมา 200 ปีแล้ว) แต่เป็นญี่ปุ่นซึ่งต่อสู้กับภาวะเงินฝืดมาเป็นทศวรรษ เริ่มใช้มาตรการ QE ในปี 2001 โดย BOJ โกยพันธบัตรรัฐบาลมาเก็บและถีบเงินออกไปสู่ระบบ จากเดิม Balance Sheet มีขนาด 5 ล้านล้านเยน พุ่งพรวดไปเป็น 35 ล้านล้านเยนภายในเวลา 3 ปี และคงอยู่อย่างนั้นจนถึงปี 2006 ในปัจจุบัน BOJ unwind position ของตนเองเกือบหมดแล้วและ Balance Sheet หดกลับมาอยู่ที่ 8 ล้านล้านเยน แต่ในอนาคตไม่แน่ว่า ญี่ปุ่นจะมี QE2 หรือไม่

ที่แน่ๆ ตลาดคาดว่า สหรัฐจะมี QE2 ก่อน

นักเศรษฐศาสตร์บางคนพยายามจะบอกว่า QE ไม่ใช่การพิมพ์เงิน (Money Printing) ถ้ามุ่งเน้นที่การซื้อตราสารที่มีซื้อขายอยู่แล้วใน secondary market แต่ถ้ารัฐบาลจะออกพันธบัตรใหม่บอกให้แบงค์ชาติมาซื้อ นี่จึงนับเป็นการพิมพ์เงิน 

ผลมันอาจจะคล้ายๆกันคือปริมาณเงินในระบบสูงขึ้น ถ้าทำให้ภาวะปกติจะนำไปสู่ Hyper Inflation แต่อย่างไรก็ตามคำว่า “พิมพ์” นี้ไม่ได้เงินขึ้นจริง transaction ที่เกิดขึ้นเป็น electronics ทั้งหมด

เมื่อมองในภาพรวมแล้วการปล่อยสภาพคล่องจำนวนมหาศาลจากการเพิ่มฐานเงินเข้าไปในระบบก็อาจก่อให้เงินภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นมากในอนาคตได้ และธนาคารกลางก็จะต้องหาทางจัดการดูดสภาพคล่องกลับให้ทันสถานการณ์ก่อนที่จะเกิดปัญหา ซึ่งการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมของ Exit Policy นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก

QE ได้ผลจริงเหรอ?
มีความเห็นไปต่างๆนานา เนื่องจากรู้ไปมันอาจจะประยุกต์กับการลงทุนของเราไม่ได้ ตอบสั้นๆว่า มีดีกว่าไม่มี และมันมีโอกาสจะทำให้เกิด asset bubble ในการลงทุนเราสนใจเฉพาะ fund flow จาก QE เท่านั้น

ต่อไปลองอ่านบทความนี้ต่อนะครับ
การลด QE มีผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร ?

Popular Posts

ปฎิทินเศษฐกิจโลก



Big Thanks
Google & Youtube

Tags1 : เทรด FOREX, เล่นหุ้นออนไลน์, ตลาดหลักทรัพย์
Tags2 : งานผ่านเน็ต, ลงทุนธุรกิจ, เส้นทางเศรษฐี
 

โบรกเกอร์แนะนำ

สถิติชมเว็บ

จำนวนผู้ออนไลน์ขณะนี้

Translate

นโยบายความเป็นส่วนตัว