เมื่อมองโอกาสในการถูกรางวัลจากการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลแต่ละงวดแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีโอกาสน้อยมาก โดยโอกาสที่จะถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว มีอยู่ 1 ใน 100 หรือคิดเป็น 1% ซึ่งผู้ชอบเสี่ยงโชคส่วนใหญ่จะมองว่ามีโอกาสแค่ 1% ก็ยังดี แต่หากมองในมุมกลับกัน โอกาสที่จะไม่ถูกเลขท้าย 2 ตัวมีสูงถึง 99% ในขณะที่โอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งเป็นรางวัลที่ทุกคนใฝ่ฝัน มีอยู่เพียง 0.0001% และสมมุติว่าหากสลากฯ เลขที่ถูกรางวัลที่ 1 ทั้ง 70 ชุด (35 คู่) ถูกกระจายออกไปแก่ผู้ซื้อ 35 คน คนละ 1 คู่ ก็จะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ทั้งหมด 35 คน ในแต่ละงวด หรือคิดเป็น 0.00005% ของประชากรไทยทั้งหมดราว 65 ล้านคน
ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบดูว่า หากนำเงินที่ซื้อสลากฯ มาลงทุนในหุ้นดูบ้าง โดยสมมุติว่าซื้อสลากฯ ทุกงวด ทั้งงวดวันที่ 1 และ 16 งวดละ 1,000 บาท และสมมุติว่าซื้อ 10 คู่ 10 หมายเลขที่แตกต่างกัน ที่ราคาคู่ละ 100 บาท ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มกราคม 2547 – 31 ธันวาคม 2556 (ประมาณ 10 ปี) รวมทั้งหมด 240 งวด คิดเป็นเงินที่ซื้อสลากฯ ทั้งหมด 240,000 บาท
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สมมุติว่านำเงินไปลงทุนในหุ้นเป็นเงิน 2,000 บาททุกเดือน (จำนวนเท่ากับเงินที่ใช้ซื้อสลากฯ ทุกเดือน) โดยลงทุนในวันทำการสุดท้ายของเดือน รวมเงินลงทุน 240,000 บาทเท่ากัน ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นเมื่อคิดจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 396,219 บาท และเมื่อรวมเงินปันผลแล้วจะได้ผลตอบแทนรวมเมื่อคิดจากดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ไทยเท่ากับประมาณ 502,472 บาท
ซึ่งผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบการนำไปเสี่ยงโชคแล้ว เท่ากับผู้ลงทุนในหุ้นถูกรางวัลที่ 2 เป็นจำนวน 2.51 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 เป็นจำนวน 6.28 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 เป็นจำนวน 12.56 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 1 ครั้ง) หรือถูกรางวัลที่ 5 เป็นจำนวน 25.12 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 2 ครั้ง) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 125.62 ครั้ง (ถูกงวดเว้นงวด) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 251.24 ครั้ง (ถูกครั้งละมากกว่า 1 คู่ จากการเสี่ยงโชค 240 งวด)
แต่ถ้าหากนักเสี่ยงโชคซื้อเลขเดียวกันทั้ง 10 คู่ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตัวเลขที่นักเสี่ยงโชคซื้อจะต้องถูกเลขท้าย 2 ตัวเป็นจำนวน 25.38 งวด จึงจะได้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับที่ลงทุนในหุ้น (ซึ่งสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีเลขใดที่ออกเลขท้าย 2 ตัวถึง 25 ครั้ง)
บางท่านอาจจะเถียงว่า เป็นเพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้นเยอะ ก็มีส่วนถูกครับ ผมจึงขอนำเสนอระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็น 20 ปี (งวดวันที่ 16 มกราคม 2537 - 31 ธันวาคม 2556) ซึ่งตรงกับช่วงที่ตลาดหุ้นเคยขึ้นไปถึง 1,700 จุด ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยใช้สมุมติฐานเดียวกัน ซึ่งเท่ากับว่ามีการออกสลากฯ ทั้งหมด 480 งวด เป็นเงินที่ใช้ทั้งหมด 480,000 บาท จากการคำนวณโดยใช้ข้อมูลดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยและเงินปันผลพบว่า หากลงทุนเป็นเงิน 2,000 บาทในทุกวันทำการสุดท้ายของเดือนอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นจะมีเงินรวมประมาณ 1,609,000 บาท
ซึ่งเทียบเท่ากับถูกรางวัลที่ 2 จำนวน 8 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 จำนวน 20 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 จำนวน 40 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 5 จำนวน 80 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 402 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 805 ครั้ง
จากตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่า ในระยะยาวหากต้องการให้การเสี่ยงโชคได้ผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในหุ้น ท่านจะต้องถูกรางวัลที่ 1 หรือถูกรางวัลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากใน 20 ปีที่ผ่านมา นักเสี่ยงโชคเปลี่ยนจากซื้อสลากฯ เดือนละ 2,000 บาท เป็นลงทุนในหุ้นเดือนละ 5,000 บาท เมื่อรวมผลตอบแทนและเงินปันผลจะมีเงินประมาณ 4 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับการถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 คู่ เสมือนกับท่านสร้างรางวัลที่ 1 ขึ้นมาด้วยตัวท่านเองครับ
ที่มา : www.bangkokbiznews.com
ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบดูว่า หากนำเงินที่ซื้อสลากฯ มาลงทุนในหุ้นดูบ้าง โดยสมมุติว่าซื้อสลากฯ ทุกงวด ทั้งงวดวันที่ 1 และ 16 งวดละ 1,000 บาท และสมมุติว่าซื้อ 10 คู่ 10 หมายเลขที่แตกต่างกัน ที่ราคาคู่ละ 100 บาท ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มกราคม 2547 – 31 ธันวาคม 2556 (ประมาณ 10 ปี) รวมทั้งหมด 240 งวด คิดเป็นเงินที่ซื้อสลากฯ ทั้งหมด 240,000 บาท
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สมมุติว่านำเงินไปลงทุนในหุ้นเป็นเงิน 2,000 บาททุกเดือน (จำนวนเท่ากับเงินที่ใช้ซื้อสลากฯ ทุกเดือน) โดยลงทุนในวันทำการสุดท้ายของเดือน รวมเงินลงทุน 240,000 บาทเท่ากัน ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นเมื่อคิดจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 396,219 บาท และเมื่อรวมเงินปันผลแล้วจะได้ผลตอบแทนรวมเมื่อคิดจากดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ไทยเท่ากับประมาณ 502,472 บาท
ซึ่งผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบการนำไปเสี่ยงโชคแล้ว เท่ากับผู้ลงทุนในหุ้นถูกรางวัลที่ 2 เป็นจำนวน 2.51 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 เป็นจำนวน 6.28 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 เป็นจำนวน 12.56 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 1 ครั้ง) หรือถูกรางวัลที่ 5 เป็นจำนวน 25.12 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 2 ครั้ง) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 125.62 ครั้ง (ถูกงวดเว้นงวด) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 251.24 ครั้ง (ถูกครั้งละมากกว่า 1 คู่ จากการเสี่ยงโชค 240 งวด)
แต่ถ้าหากนักเสี่ยงโชคซื้อเลขเดียวกันทั้ง 10 คู่ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตัวเลขที่นักเสี่ยงโชคซื้อจะต้องถูกเลขท้าย 2 ตัวเป็นจำนวน 25.38 งวด จึงจะได้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับที่ลงทุนในหุ้น (ซึ่งสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีเลขใดที่ออกเลขท้าย 2 ตัวถึง 25 ครั้ง)
ซึ่งเทียบเท่ากับถูกรางวัลที่ 2 จำนวน 8 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 จำนวน 20 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 จำนวน 40 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 5 จำนวน 80 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 402 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 805 ครั้ง
จากตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่า ในระยะยาวหากต้องการให้การเสี่ยงโชคได้ผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในหุ้น ท่านจะต้องถูกรางวัลที่ 1 หรือถูกรางวัลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากใน 20 ปีที่ผ่านมา นักเสี่ยงโชคเปลี่ยนจากซื้อสลากฯ เดือนละ 2,000 บาท เป็นลงทุนในหุ้นเดือนละ 5,000 บาท เมื่อรวมผลตอบแทนและเงินปันผลจะมีเงินประมาณ 4 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับการถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 คู่ เสมือนกับท่านสร้างรางวัลที่ 1 ขึ้นมาด้วยตัวท่านเองครับ